Julie & Julia จูลี่และจูเลีย





  

A perfect combination is the result of when you put two right things together, like moonlight and love songs, candlelight and roses, music and movies. In Julie & Julia's case it's cooking and writing! I knew I would love this film before I even watched it. 
Based on two true stories of Julie Powell who lived in New York in 2001 and Julia Child who lived in France in the 1950's. The film shows the similarities between the two women who lived in different country and different period of time but they had the same passion - cooking and writing. They both had nice, supportive husband. They both tried to prove themselves. 
Personally, I feel like I can relate more to Julie who was coming up to her 30 and still didn't feel like she was doing as well as the rest of her 
university friends. I would really hate that cobb salad meeting and no way I would go, sitting or having anything to do with 
that sort of superficial friends, they were all pretentious. And what is cobb salad anyway, living in the UK we just call it salad! Besides, I wouldn't have friends like that in the first place. 
In Paris, Julia was trying to prove that she wasn't just a housewife trying to kill time. I find her story line is much more interesting and funny than of Julie's. It's unfair, I know, 
because Julia was such a character though I don't really know anything about her and can only go 
with how Meryl Streep portrayed her which was very bubbly and comical. And for the fact that Julia Child lived in Paris! 
Anyway, it's not a competition and both stories entwined together perfectly. 
I've been a fan of Meryl Streep since I watched The hours and I really like her in the devil wears Prada. 
I know she has a very long acting career but those are only the other two of her films I like - that doesn't mean she isn't any good in any other films. 
I find both ladies are so inspiring. I was so shocked and sad that Julie Powell has recently passed away.
When the film came out, everyone wanted to become
a blogger. Everyone wanted to have a blog and I was one of them. I still like blogging now even though it's really out of date and people I know keep telling me that I'm wasting my time, no one is going to read what I write. They said I need to make a Vlog! People will watch it, get in there before it's out of fashion. Nobody reads anymore. But I love writing. I don't care if anyone reads it - well, I do care, actually.
I love when Julie's husband said to her 
that Julia Child wasn't always the Julia Child, that is very true. It's very encouraging.
Not only this film is so inspiring but it's also very entertaining, engaging, and funny. I really love when Julia first went to her first cookery lesson at the Cordon Bleu and couldn't chop onions as well as other students did so she practised chopping a huge pile of them at home 😁Onion Cutting Scene | Julie & Julia - YouTubeThe story between Julia and her husband was so cute as well, showing their were so fond of each other.  
As a matter of fact, I just love her story
in Paris. I suppose, it's because Paris is such a romantic, charming city and I love the way life was back in that time when people still wrote letters and sending postcards, buying books and cooked their own meals.

Julie's story is about an ordinary person who lives mundane life, has a full-time job to pay the bills but the heart is still yearning for something more full-filling. It's just 

nice to see her achieved what she deserved in the end. Thank you both Julie and Julia for their lovely stories which inspire us all.

I'd like to dedicate this article to the late Julie Powell ❤

All the photographs are from the film
I do not own them
Special thanks to for the lovely clip from YouTube

จูลี่และจูเลียเป็นหนังที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของจูลี่ พาวว์ และจูเลีย ไชด์ ผู้หญิงสองคนที่มีชีวิตอยู่คนละสถานที่และเวลา 
จูลี่เป็นหญิงสาวชาวนิวยอร์คในช่วงปี 2000 ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้ก่อการร้ายทำการขับเครื่องบินพุงเข้าชนตึกเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ และเธอมีอาชีพเป็นข้าราชการรับเรื่องร้องทุกข์ ค่ารักษาพยาบาล แก่ผู้ที่ได้รับเคราะห์กรรมจากกรณีตึกเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ 
จูเลียเป็นชาวอเมริกันที่ย้ายตามสามีไปทำงานยังสถานฑูตอเมริกันในปารีสในยุค 60's
หนังแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของผู้หญิงทั้งสองคน เช่น ทั้งคู่มีสามีน่ารักให้กำลังใจภรรยา
ทั้งคู่ต่างก็เป็นข้าราชการทำงานให้กับรัฐฯ ทั้งคู่่ต่าง
ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและใฝ่ฝันที่จะนอกเหนือไปจากการทำงานได้เงินเดือนไปวันๆ
โดยส่วนตัวแล้วมีความรู้สึกว่าชีวิตของจูลี่นัั้นเป็นอะไรที่เหมือนๆ กับเราๆ ท่านๆ ในปัจจุบัน คือทำงานได้เงินเดือนไปวันๆ เพื่อนมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนบ้าน และจะว่าไปก็เหมือนกับว่าชีวิตก็มีอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน
ส่วนชีวิตของจูเลียในปารีสนั้นมีความรู้สึกว่าม้นน่าสนใจ สนุกสนานกว่าเยอะ อาจจะเป็นได้ว่าโดยส่วนตัวคิดว่าปารีสเป็นเมืองที่น่าสนใจกว่านิวยอร์คอยู่
แล้ว แถมยังอยู่ในสมัยที่คนยังเขียนจดหมายส่งโปสการ์ดถึงกัน ทำอาหารกินกันเอง มันน่าสนใจกว่าชีวิตสมัยนี้ตั้งเยอะ 
ส่วนนักแสดงที่แสดงเป็นจูเลียก็คือเมอริล สตรีปนั้นแสดงได้น่ารักสนุกสนานมาก ดูแล้วมีความรู้สึกว่าจูเลัยเป็นคนตลกๆ เฮฮา ทั้งๆ ที่ก็ไม่ทราบว่าตัวจริงของจูเลียเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะก็ไม่เคยรู้เลยว่าจูเลีย ไชด์เป็นใครจนกระทั่งมาดูหนังเรื่องนี้แหละ 
นักแสดงที่แสดงเป็นจูลี่ก็คือเอมี่ อาดัมส์ ซึ่งในเรื่องนี้มารับบทเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ปอนๆ ก็ไม่แต่งหน้าแต่งตาอะไร ส่วนการแสดงนั้นก็โอเค แต่ก็แน่ละว่า
จะไปสู้การแสดงของเมอริล สตรีปก็คงไม่ได้ มันคนละเบอร์กัน
เรื่องย่อๆ ของหนังเรื่องนี้นะคะ ก็คือจูลี่ทำงานเป็นแค่ข้าราชการตัวน้อยๆ ธรรมดาๆ  ที่วันๆ ต้องนั่งรับโทรศัพท์ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ญาติผู้ป่วยและเสียชีวิตในกรณี 911 เป็นงานเครียดได้ค่าตอบแทนต่ำ
จูลี่กับสามีย้ายไปอยู่ในแฟล็ตย่านควีนที่ด้านล่างเป็นร้านทำพิซซ่า นัยกว่าควีนเป็นเขตไม่หรู แต่ค่าเช่าบ้านถูก สามีของจูลี่เป็นบรรณาธิการนิตยสารอะไรสักอย่าง และตัวจูลี่เองก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ที่ไหนอยากตีพิมพ์งานของเธอ ทุกเดือน (หรือทุกอาทิตย์ก็ไม่แน่ใจ) เธอจะนัดพบกับบรรดาเพื่อนๆ จากมหาลัยที่ร้านอาหาร บรรดาเพื่อนๆ
ต่างก็โก้หรูประสบความสำเร็จกว่าเธอทั้งนั้นทั้งๆ ที่ตอนที่เรียนหนังสือมันดูเหมือนว่าเธอจะมีอนาคดดีกว่าใครเพื่อน  ด้วยความเบื่อหน่าย เธอตัดสินใจเขียนบล็อก โดยใช้หัวเรื่องเป็นรายการอาหารที่เธอจะทำจากตำราทำอาหารที่เขียนโดยจูเลีย ไชด์
ตอนแรกๆ ก็ไม่มีใครอ่าน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนติดตามมากขึ้น
ส่วนจูเลียนั้นย้ายไปอยู่ปารีสกับสามีซึ่งทำงานสถานฑูตก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับปารีสไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาหารการกิน หลังจากไปเข้าคอร์สเรียนทำหมวด เล่นไพ่ ฯลฯ ก็คิดได้ว่าตัวเองเป็นคนชอบกินอาหาร ดังนั้นเรัยนทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารฝรั่งเศสก็เป็นอะไรที่จูเลียอยากจะทำมากที่
สุด เธอก็เลยไปสมัครเรียนทำอาหารฝรั่งเศสที่ คอดอง เบลอ อันเป็นโรงเรียนสอนการทำอาหารฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ทีแรกเธอก็ทำได้ไม่ดี แต่เธอก็เป็นคนมีความตั้งใจจริง และก็มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร ประเภทว่าท้ายที่สุดบรรดาพวกนักเรียนด้วยกันต่างก็ต้องยกนิ้วให้ จูเลียมาพบเข้ากับซิมค่าเข้าโดยบังเอิญ ซิมค่าและเพื่อนอีกคนคือหลุยเซ็ทกำลังเขียนตำราทำอาหารฝรั่งเศสกันอยู่ และอยากให้จูเลียช่วยเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ถึงตรงนี้ก็จะต้องบอกว่าการเขียนหนังสือให้ได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยไม่ว่าจะเป็นสมัยนี้หรือสมัยไหนก็ตาม แต่ก็อย่างว่า ความ
พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เห็นจูเลียนั่งพิมพ์ตำราทำกับข้าวด้วยเครื่องพิมพ์ดีดและกระดาษคาร์บอนแล้ว แหม...มันรู้สึกได้บรรยากาศจริงๆ แล้ว
ก็หาใช่เขียนตำราทำกับข้าวกันเดือนสองเดือนไม่ ประเภทว่าจูเลียและสามีย้ายบ้านย้ายเมืองย้ายประเทศไปไม่รู้กี่หน จนในที่สุดก็มีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งสนใจ แต่ไปๆมาๆก็ไม่ตีพิมพ์เพราะเนื้อหามันเยอะเกินไป เราคิดว่า ถ้าเป็นเราก็อาจจะยอมแพ้ ร้องไห้แงๆ ไปแล้ว จริงๆ แล้วจูเลียก็คงจะรู้สึกประมาณนั้นเหมือนกันละมั้ง เพราะเวลามันผ่านไปนาน จนกระทั่งเธอกลับมาอยู่อเมริกาอีกครั้ง และมันก็เหมือนกับว่าชีวิตในต่างแดน  ความน่าตื่นเต้น น่าสนใจก็คล้ายกับว่ามันหมดลงไปด้วย ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการ
ลงหลักปักฐาน อยู่ๆ เธอก็ได้รับจดหมายจากสำนักพิมพ์ (อะไรก็จำไม่ได้แล้ว) เขียนมาบอกว่า ได้ทำการทดลองทำอาหารตามตำราแล้วชอบมาก ตกลงจะทำการตีพิมพ์ตำราทำอาหารที่ว่าและจะไม่มีการตัดต่อดัดแปลงอะไรทั้งสิ้น และตำราทำอาหารที่ว่านั้นก็เป็นเล่มเดียวกับที่จูลี่ใช้ทำอาหารลงในบล็อกจนกระทั้งมีแฟนติดตามกลายเป็นบล็อกที่มีแฟนมากที่สุด และมีสำนักพิมพ์มาติดต่อขอสัมภาษณฺ ขอให้เธอไปเขียนหนังสือ ฯลฯ คือในที่สุดความฝันก็เป็นจริงว่างั้นเถอะ
อย่างไรก็ตาม จูลี่ พาวว์เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 49 ปีในปี 2022 ด้วยโรคหัวใจฉับพลันขณะที่เธอป่วยเป็นโควิด  

หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่สนุก ดูแล้วอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามที่กำลังค้นหาพรสวรรค์ สิ่งที่ตัวเองรักใฝ่ฝันอยากจะทำนะคะ มีตอนนึงที่เอริค สามีของจูลี่พูดว่า จูเลีย ไชด์ ไม่ได้เป็นจูเลีย ไชด์มาตั้งแต่เกิด อะไรทำนองนี้ หมายความว่าคนที่เราเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จก็เคยเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก่อน ทำให้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาว่าจะต้องไม่หยุดทำส่ิงที่เขารักที่จะทำ แล้วมันก็จะดีเอง
ถ้ายังไม่ได้ดูนะคะ อย่าลืมไปหามาดู ถ้าดูแล้วอยากคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็ได้เลยนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้คะ

Meryl Streep as Julia Child


Amy Adams as Julie Powell












Comments

Popular posts from this blog

The silence of the lambs

Cousins 1989