The great expectations เดอะ เกรท เอ็กซ์เป็คเทชั่นส์


I've re-watched this film today, 
on a grey, cold and wet day, feeling disappointed with the weather. I've always liked this film. It's not the film that has been mentioned a lot and most people I know have never seen or heard of it. But this 90's version of The great expectations is my most favourite version of all.

Instead of Kent and London England in the early 19th century, it sets in Florida and New York, USA in the late 20th century. There are some alterations such as the boy is called Finn instead of Pip and Ms Havisham's name has changed to Ms Dinsmore. The film has cut out a lot of boring complicated story and unnecessary dramas and straight to the point. It's beautifully and artistically done. I don't think Charles Dickens' fans would've approved (?) but I love it instead of a boring period, old fashioned it's become such a sleek, artistically cool film. I also love music score written by
Patrick Doyle Estellas's theme - YouTube and the soundtrack which is packed with cool songs from cool 90's artists such as Pulp, Reef and Mono etc. The Great Expectations - Life in Mono - YouTube
Gwyneth Paltrow is gorgeous and perfect for the role of Estella. Ethan Hawke looks vulnerable and nice enough as Finn (Pip) Ann Bancroft looks eccentric as Ms Dinsmore (Ms Havisham) Robert DeNiro is very Al Caponey/Godfathery mafia as Arthur Lustig (originally Abel Magwitch) who thank god - not Estella's father or having anything to do with Ms Dinsmore. My favourite
character is Joe, plays by Chris Cooper. He is my favourite dues to the combination of the character and the actor. Joe is a good hearted, rough gentleman, very understanding and nice. I feel so sorry for him when he turns up at Finn's opening in New York and makes quite a fool of himself - I find it's the most emotional scene of the whole film. Thank goodness, he is happy with his new family in the end. I've always felt that someone like Joe who never asks anything in return and a true giver   
should deserve happiness. Hank Azaria plays Estella's millionaire love interest. I've always remembered him as David, Phoebe's boyfriend from the sitcom, Friends 😊 He is a posh and rich version of David in this film. The film has a charm of the 90's when things seem to be more sedate and classy, people seem to look more natural, no social media, no smart phones. I also love the paintings and drawings which are from artwork by an Italian artist, Francesco Clemente. They are so beautiful. (Please scroll down to the bottom of the page)


เกิดอยากดูหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งในวันฝนตกพรำๆ บรรยากาศชื้นแฉะและอากาศก็หนาวเช่นนี้ เพราะว่าเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก จริงๆ แล้วก็คือ เหตุผลในการชอบหนังแต่ละเรื่องแต่ละประเภทมีหลายแบบนะคะ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เป็นเสน่ห์ของยุคเก้าศูนย์ คือผู้คนยังเป็นธรรมชาติและบรรยากาศก็ยังไม่วุ่นวายสับสน ไม่มีโซเชียลมีเดีย สมาร์โฟนหรืออะไรทั้งหลายแหล่ 
มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่
ที่รู้จักเมื่อถามถึงว่าเคยดูหรือเปล่าก็จะได้รับคำตอบว่าไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ The Great expectations นั้นเป็นหนังสือคลาสสิคที่เขียนโดยชาร์ลส์ ด๊กเค่น และก็ถูกนำไปสร้างเป็นทั้งหนังและละครมาไม่รู้กี่เวอร์ชั่นแล้ว สำหรับตัวเองคิดว่าเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ชอบมากที่สุด เพราะมันเป็นเวอร์ชั่นที่ดัดแปลง ตัดเรื่องราวที่ไม่จำเป็นน่าเบื่อและตรงไปตรงมา ไม่น้ำเน่าเหมือนของเดิม ทันสมัยแต่ก็ยังคงความรู้สึกและแกนหลักของเรื่องไว้ได้ครบถ้วน แถมยังดูมี
ศิลปะ ดนตรีประกอบก็ไพเราะ เพลงก็ดีจากนักดนตรีช่วงยุคเก้าศูนย์ที่มีสชื่อเสียงแต่ไม่ตลาด มีความรู้สึกว่ามันมีความคลาสสิกมากๆ นักแสดงก็แสดงได้ดีกันทั้งหมด กวินเน็ธ พัลโทรว์สวยแบบเลือดเย็นสมกับที่เป็นเอสเต๊ลล่า อีธาน ฮอล์คส์ดูเป็นหนุ่มอ่อนไหวนิสัยดีเหมาะกับตัวละคร (ในหนังเวอร์ชั่นนี้เขาชื่อฟินน์ ไม่ใช่พิพเหมือนในหนังสือ) แอน แบนครอฟต์ แสดงเป็นมิสฮาวิสแชมหรือมิสดินสมอร์ โรเบิรต์ เดอนีโร แสดงเป็นอาร์เธอร์ ลัสติก ซึ่งเป็นนักโทษแหกคุกที่พระเอกวัยเด็กของเราช่วยเอาไว้ อันว่าบทนี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกับในหนังสือ และเดอนีโรเล่นใน
แบบฉบับของพวกมาเฟียอเมริกัน คล้ายๆ พวกก๊อดฟาเธอร์บวกอัล คาโปน แต่ในเวอร์ชั่นนี้ก็ยังแสดง
ให้เห็นว่าเขาก็มีจิตใจดีและรสนิยมดี เห็นความสวยงามของศิลปะ
ตัวละครที่ชอบมากที่สุดคือโจ พี่เขยของฟินน์ที่นำแสดงโดยคริส คูปเปอร์นะคะ คือว่าที่ชอบก็เป็นส่วนผสมระหว่างผู้แสดงที่แสดงดีมากๆ และตัวละครที่เป็นคนดีมากๆ นั่นเอง แฮงค์ อาซาเรียเล่นเป็นเศรษฐีหนุ่มที่เป็นคนรักของเอสเตลล่า จำเขาได้จากซิทคอมเรื่องเฟรนด์ส เขาแสดงเป็นเดวิด แฟนของฟีบี้ และในหนังเรื่องนี้
เขาก็ยังคล้ายๆ กับเดวิด แต่ว่ารวยและหรูกว่า 
เวอร์ชั่นนี้แทนที่เรื่องราวจะเกิดในเคนท์และลอนดอนประเทศอังกฤษ ก็กลายมาเป็นที่ฟลอริด้า และนิวยอร์ค อเมริกานะคะ และตัวละครทุกตัวก็เป็นอเมริกันไม่ใช่อังกฤษ เล่าอย่างย่อๆ ก็คือว่า
ฟินน์เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับพี่สาวและแฟนของพี่สาวชื่อโจ 
ซึ่งเป็นชาวประมงและรับจ้างทำงานทั้วไป ฟินน์เป็นเด็กที่ชอบวาดรูป
วันหนึ่งระหว่างที่วาดรูปอยู่ที่ป่าชายเลนคนเดียวก็พบเข้ากับนักโทษหนีคุกที่หลบซ่อนตัวอยู่ ฟินน์ช่วยนักโทษคนนี้ นำอาหารเครื่องดื่มและที่ตัดโซตรวนให้ แต่นักโทษคนนั้นหนีไปไม่พ้นในที่สุดก็ถูกตำรวจรวบตัวไปได้อีก ในขณะเดียวกันโจก็ได้รับการทาบทามให้ไปทำสวนให้กับเศรษฐีณีมิสดินสมอร์ ซึ่งเป็นหญิงสูงอายุที่สติสตังไม่ปกติ เนื่องจากเป็นหม้ายขันหมากเมื่อตอนเป็นสาว เสียใจจนเพี้ยนไปเลย ที่ึคฤหาสถ์ของมิสดินส์มอร์นี้เองที่ฟินน์ได้พบกับเอสเต็ลล่าเป็นครั้งแรก ในหนังไม่ได้บอกว่าเอสเต็ลล่าเป็นใครมาจากไหน เข้าใจว่าเป็นหลานสาวของมิสดินส์มอร์ที่เธอรับเอามาอุปการะ 
เอสเต็ล่าเป็นเด็กหน้าตาสะสวย บุคคลิกเย่อหยิ่ง เพราะมิสดินส์มอร์สอนให้เธอเป็นคนเกลียดผู้ชาย หลอกใช้ผู้ชาย เอาความสวยเป็นเครื่องมือ เป็นการแก้แค้นที่ผู้ชายทำให้เธอเป็นม่ายขันหมาก มิสดินส์มอร์จ้างให้ฟินน์มาเป็นเพื่อนเล่นกับเอสเต็ลล่า แต่จริงๆ แล้วก็คือให้ฟินน์มาเป็นเครื่องมือสาธิตเสน่ห์ของเอสเต็ลล่านั่นเอง และก็แน่ละว่าเด็กชายบ้านนอกซื่อบริสุทธิ์ก็ติดกับเป็นลูกไล่และหลงรักเอสเต็ลล่า ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีความหวัง เมื่อเอสเต็ลล่าโตขึ้น มิสดินส์มอร์ก็ส่งเธอไปนิวยอร์ค นัยว่าไปชุบตัวและหาสามีรวยๆ ฟินน์ก็ผิดหวังอก
หักไปนั่นเอง แต่แล้วเจ็ดปีหลังจากที่เอสเต็ลล่าจากไป ฟินน์ก็ได้รับ
การติดต่อจากทนายความคนหนึ่งบอกว่า ลูกค้าของเขามีความประสงค์จะให้ฟินน์ไปเปิดแสดงภาพเขียนงานศิลปะของเขาในนิวยอร์ค โดยลูกค้าของเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ตอนนั้นพี่สาวของฟินน์หนีตาม
ผู้ชายคนอื่นไปนานแล้ว และโจเป็นคนเลี้ยงฟินน์จนโตขึ้นมาแต่เพียงผู้เดียว ฟินน์บอกว่าเขาไม่ได้เขียนภาพอีกแล้ว แต่โจสนับสนุนให้เขาไป
ฟินน์เข้าใจว่ามิสดินส์มอร์เป็นคนจัดหาทนายและวางอุบายให้เขาไปพบกับเอสเต็ลล่าที่นิวยอร์คและเพื่อที่จะทำให้เขามีหน้ามีตามีความสำเร็จ
สมฐานะกับเธอ แล้วฟินน์ก็พบกับ
เอสเต็ลล่าจริงๆ เธอมีคู่รักแล้วเป็นเศรษฐีหนุ่ม และใช้ฟินน์เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เขาหึงและขอเธอแต่งงาน ฟินน์เสียใจและอกหักเป็นครั้งที่สอง แต่เขาประสบความสำเร็จกับการแสดงงานศิลปะ และขายงานได้ทั้งหมด โจมาร่วมงานด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญ และก็ทำให้ฟินน์อับอายขายหน้า จึงขอตัวลากลับไป ฟินน์กลับไปยังที่พักก็พบกับชายชราคนหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่หน้าห้องพักของเขาบอกว่ามีคนคอยจะทำร้ายอยู่ด้านล่างของตัวตึกและขอฟินน์ใช้โทรศัพท์เพื่อแจ้งตำรวจ กลับกลายเป็นว่าชายชราคนนั้นคือนักโทษแหกคุกที่เขาได้ช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก และเขาก็ยังรู้อีกด้วยว่าไม่ใช่มิสดินส์มอร์ที่เป็นคนออกทุน
ทรัพย์ให้เขามาเปิดการแสดงภาพเขียนในนิวยอร์ค แต่เป็นอาเธอร์
ลัสติกนี่เอง เพราะเขาสำนึกในบุญคุณของเด็กชาย เพราะเด็กชายฟินน์เป็นผ้าขาวที่แตกต่างจากตัวเองโดยสิ้นเชิง และเขาประทับใจในความสามารถทางศิลปะของฟินน์ 
หนังเรื่องนี้ถ่ายทำได้อย่างสวยงามมีศิลปะ สมกับที่พระเอกของเราเป็นศิลปิน งานศิลปะที่นำมาใช้ในหนังเรื่องนี้เป็นงานศิลปะของศิลปินชาวอิตาเลี่ยนชื่อฟรานเชสโก้ คลีเมนเต้ อีกทั้งเพลงประกอบก็งดงาม เป็นการประพันธ์ของแพทริค ดอลย์ Patrick Doyle - Kissing in the Rain (OST Great Expectations) [1998] - YouTubeหาฟังได้จากยูทูปนะคะฉากประทับใจมากๆ คือ ฉากที่พระเอกวิ่งตากฝนไปตามหานางเอกในร้านอาหารซึ่งเธอกำลังอยู่กับแฟนหนุ่มและครอบครัว เขาชอให้
เธอเต้นรำกับเขาอย่างไม่อายต่อหน้าแฟนหนุ่มและคนอื่นๆ  ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ายังไงเอสเต็ลล่าก็ไม่เลือกเขา แต่มันเป็นเรื่องของผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ แม้รู้ว่าเธอหลอกใช้ ทำให้ผิดหวังยังไงก็จะลงสู้ ไม่ยอมแพ้ และในฉากนั้นทั้งการแสดงทั้งดนตรีที่ใช้ประกอบมันตอบรับกันได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ Great Expectations (Escena Kising inThe Rain ) - YouTube
ฉากที่สองเป็นฉากที่โจมาร่วมในงานแสดงภาพเขียนของฟินน์โดยไม่ได้รับเชิญ และเขารู้ว่าทำให้ฟินน์อับอาย
ฉากที่สาม ไม่มีอะไรมาก ก็คิอว่าพระเอกประสบความสำเร็จกับการเปิดแสดงศิลปะ และเขารู้ว่าเขาทำไปทั้งหมดเพื่อให้มีความเหมาะสม
คู่ควรกับเธอ และเธอจะได้ไม่ต้องอายที่มาเลือกคนอย่างเขา เขาเดินไปยังที่พักของเธอเพื่อจะบอกเธอ แต่กดกระดิ่งก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เขาจึงตะโกนขี้นไปว่า เขาทำสำเร็จแล้ว เขาประสบความสำเร็จ เขาขายงานศิลปะได้ทั้งหมด เธอไม่ต้องอับอายเพราะเขาอีกแล้ว เขารวยแล้วไม่เข้าใจหรือว่าเขาทำไปทั้่งหมดนี้ก็เพื่อเธอ เพราะอะไรก็ตามที่อาจจะเป็นสิ่งพิเศษของเขาก็คือเธอ ตะโกนออกไปทั้งหมดนี้เขาไม่รู้เลยว่าเอสเต็ลล่าได้ไปแต่งงานกับเศรษฐีหนุ่มนั้นแล้ว และคนที่ได้ยินเขาตะโกนออกไปทั้งหมดไม่ได้เป็นเอสเต็ลล่าแต่เป็นมิสดินส์มอร์ 😓 โธ่ถัง
Favourite scenes from the film:
1. When Finn comes out in the rain and runs to find Estella in the Chinese restaurant where she is with her fiance and his family. He asks her to dance with him. It is such a powerful scene, a man is madly in love sort of scene. The music makes it even more powerful. He can't hear or see anything but her!
2. When Joe comes to the opening without being invited and makes Finn embarrassed. He makes an excuse to leave as he realises he shouldn't be there. It makes me want to cry because he is very upset but still manages to be very nice and understanding. 
3. When Finn walks to Estella's place feeling bitter sweet with what he has done. And shouts, "I did it, I did it. I'm a wild success, I sold them all, all my paintings. You don't have to be embarrassed by me anymore. I'm rich...Don't you understand, everything I do, I do it for you. Anything that might be special in me... is you."  Well, Estella doesn't hear all that, unfortunately. She has gone, getting married to the rich guy. And I'm sure Dickens didn't write that speech but that is even better 😁 Great Expectations ...special in me - is you - YouTube
Still, thank you Mr Dickens to write this story. 


Anne Bancroft as Ms Dinsmoor
Robert DeNiro as Arthur Lustig
Gwyneth Paltrow as Estella
Ethan Hawke as Finn














Chris Cooper as Joe

All photographs are from the film, I do not own themMany thanks to lovely YouTubers who uploaded music and scenes from the film 



 

Comments

Popular posts from this blog

The silence of the lambs

Cousins 1989

Julie & Julia จูลี่และจูเลีย